6 วิธีขับรถอย่างปลอดภัย
สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุนั้นมีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลัก ๆ คือการขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด
ตามมาด้วยเมาแล้วขับและหลับในมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นตัวแปรของการเกิดอุบัติเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากความประมาท และการขาดความระมัดระวังซึ่งจบลงด้วยการบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิตตามมา
เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุมี 5 วิธีมาแนะนำ
1. คาดการณ์ล่วงหน้า
การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเป็นกระบวนการทำงานของสมอง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุขณะขับขี่รถยนต์โดยอาศัย การมองให้ไกลที่สุด การตัดสินใจที่รวดเร็วฉับไวและถูกต้อง
การคาดการณ์และตอบสนองเพื่อหลีกหนีจากอุบัติเหตุ ยิ่งมีเวลาให้แก้ไขนานเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยจากอุบัติเหตุมากเท่านั้น
2. หลีกเลี่ยงการใช้เบรกกะทันหัน
การเบรกแบบฉุกเฉินเป็นสาเหตุที่นำพาไปสู่อุบัติเหตุสองทางคือ หยุดรถไม่ทันแล้วไปชนท้ายคันรถข้างหน้าหรือหยุดทันแต่โดนชนท้าย
ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อฝนตกในเขตเมือง เนื่องจากเว้นระยะห่างที่ไม่มากพอ อีกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับสมาธิและสติของผู้ขับขี่
หากผู้ขับขี่ไม่มีสมาธิในการขับขี่รถยนต์มีอาการเหม่อลอยก็จะนำมาสู่อุบัติเหตุได้
โดยเฉพาะการขับรถในเขตชุมชน บนทางหลวงชนบทมีการสัญจรไปมาอย่างพลุกพล่าน ไม่ควรใช้ความเร็วควรขับช้าและสังเกตุรอบๆตัวรถอยู่ตลอดเวลา
เนื่องจากมีตรอกซอกซอยเยอะ อาจจะมีรถออกมาจากซอยหรือมีเด็กปั่นจักรยานออกมาจากซอยด้านซ้าย – ด้านขวา จึงควรระมัดระวังอย่างมาก
3. มองสามมุมบ่อย ๆ
กระจกมองหลังและกระจกมองข้าง ซ้ายและขวา เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นมุมอับต่าง ๆรอบตัวรถ
ก่อนเปลี่ยนทิศทางหรือเปลี่ยนช่องทางจราจร นอกจากจะต้องเปิดไฟเลี้ยวล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 50 - 100 เมตรแล้ว
ก่อนเปลี่ยนช่องทางเดินรถควรมองกระจกมองข้าง เพื่อช่วยทำให้เปลี่ยนช่องทางเดินรถได้ปลอดภัย
การมองกระจกมองข้างเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ก็ต้องมองบ่อย ๆ เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยให้แน่ใจว่าไม่มีรถมา ณ เวลานั้น เพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงจากอุบัติเหตุ
ส่วนกระจกมองหลังที่ควรมองบ่อย ๆ เมื่อขับทางไกล หากวิ่งอยู่ช่องเดินรถขวาสุดแล้วมองกระจกหลังเห็นรถคันข้างหลังมาจ่อท้าย
หรือเห็นว่ารถเลนซ้ายวิ่งแซงผ่านไปหลายคันก็ควรหลบเข้าช่องเลนกลางหรือเลนซ้ายจะเป็นการดีที่สุด
เพราะการขับช้าแล้วยังอยู่ในช่องทางเดินรถขวา อาจจะทำให้รถที่ขับตามหลังมาโมโหและอาจเกิดเรื่องเกิดราวเป็นข่าวหรือเป็นคลิปซึ่งในปัจจุบันมีข่าวบ่อยครั้ง
4. จุดอันตรายห้ามแซง
การแซงสามารถทำได้ แต่จะต้องตรวจสอบความปลอดภัยเสียก่อน เช่น เส้นแบ่งช่องทางเดินบนถนน
หากเป็นเส้นทึบยาว แสดงว่าเป็นจุดห้ามแซง หรือมีป้ายจราจรห้ามแซงแจ้งเตือนอยู่ที่ข้างช่องทางเดินรถก็ไม่ควรแซง
เพื่อถือว่าเป็นจุดอับในการมองเห็นซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดนำมาสู่อุบัติเหตุรุนแรงนับครั้งไม่ถ้วน
สภาพเส้นทางก็มีส่วนทำให้การแซงมีอันตรายที่ตามมา เช่น ถนนสองเลนสวนกันแบบขึ้น - ลงเขาที่คับแคบ เมื่อถึงในจุดที่สามารถแซงได้และผู้ขับขี่ต้องการแซง
ก่อนจะแซงให้ตรวจสอบความปลอดภัยรอบ ๆ ตัวรถ โดยมองกระจกข้าง ซ้าย - ขวา และกระจกมองหลัง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีรถให้ตัดสินใจแซงทันทีไม่ลังเล
หากมีการลังเลว่าจะแซงหรือไม่แซงอาจจะทำให้เสียจังหวะในการแซงและนำมาสู่อุบัติเหตุได้
5. การมองไกล
นับว่าเป็นอีกวิธีที่มีความสำคัญ การมองไกลจะทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นสถานการณ์จราจรด้านหน้าได้ก่อน
และมีเวลาเตรียมความพร้อมเพื่อแก้ไขสถานการณ์นั้นๆได้ทันท่วงที เช่น ขณะขับรถมองด้านหน้าไกล ๆ เห็น 4 แยกและเห็นไฟเหลือง
ผู้ขับขี่ก็ลดความเร็วล่วงหน้าเพื่อเตรียมหยุดรถเพื่อรอสัญญาณไฟเขียวติดแล้วจึงไปต่อ
6. ลดความเร็วก่อนถึงโค้ง
เข้าช้าออกเร็ว คือสูตรสำเร็จของการขับเข้าโค้งที่มีความปลอดภัย ไม่ใช้ความเร็วสูงเกินไปที่ไม่สอดรับกับลักษณะของโค้ง
ไม่ควรเบรกกะทันหันหรือเบรกอย่างรุนแรงในโค้ง ไม่เปลี่ยนเกียร์ขณะอยู่ในโค้ง ไม่หมุนพวงมาลัยอย่างรุนแรงเมื่อขับเข้าสู่กลางทางโค้ง
ควรลดความเร็วก่อนที่จะเริ่มต้นหมุนพวงมาลัยไปตามทางโค้ง ท่ามกลางความเสี่ยงเมื่อขับด้วยความเร็วเข้าโค้งคุณสามารถป้องกันและ
แก้ไขได้ไม่ยากด้วยทักษะและจิตสำนึกที่คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรกก่อนที่จะขับเร็ว
เข้าสู่ทางโค้งและขณะขับเข้าโค้งให้รักษาความเร็วตั้งแต่เริ่มเข้าโค้งจนถึงหัวโค้งหรือจุดกึ่งกลางทางโค้ง
พอเริ่มจะเข้าสู่ปลายโค้งก็กดคันเร่งเพื่อรักษาความเร็วขณะขับออกจากโค้ง หากเป็นโค้งซ้ายทีขวาทียาวตลอด
การขับด้วยความเร็วที่ไม่สูงมากจนเกินไปและรู้จักรักษาระยะห่างจากรถคันข้างหน้าไม่ขับจี้ท้าย
แบบใจเย็นพอทางตรงแล้วค่อยแซงจะเป็นการขับที่ปลอดภัยมากกว่าขับกดดันคันที่ช้าด้วยการจี้ท้ายติด
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง